ดับเบิ้ลเศร้า 😭 2 คนดังในตำนาน สิ้นใจติดๆกัน

(3085) ดับเบิ้ลเศร้า 😭 2 คนดังในตำนาน สิ้นใจติดๆกัน

[เพลง] คอหมอลำเศร้า 2 คนดังในตำนานเสียชีวิตติด ๆ กันนับเป็นข่าวสูญเสียที่มาติดๆกันสำหรับ แฟนเพลงคอหมอลำเมื่อตำนานเพลงเอิ้นหาน้อง เขียวสลักศิลาทองซึ่งได้บวชเป็นพระย่าง เข้าพรรษาที่ 10 แล้วได้มรณภาพเมื่อวัน ที่ 10 ธันวาคมปี 2567 ที่ผ่านมาขณะอายุ ได้ 64 ปีบวชได้ 9 พรรษาผ่านมาอีกเพียง 10 วันเมื่อช่วงเช้าของวันนี้คือวันที่ 20 ธันวาคมปี 2567 ตามเวลาเมืองไทยสมหมาย น้อยดวงเจริญหมอลำชื่อดังผู้สร้างตำนาน จากกลอนลำวิวาสะอื้นรักสาวครูขอสลารัก จดหมายบรรยายรักเป็นต้นก็ได้เสียชีวิตลง ในวัย 58 ปีที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมือง

มนตรัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกาสาเหตุการ เสียชีวิตคือโรคเบาหวานและเส้นเลือดใน สมองแตกขยายความไม่ชัดเกี่ยวกับวันเวลา ที่สมมายน้อยเสียชีวิตอีกนิดนึงนะครับจะ ได้เข้าใจตรงกันสมมน้อยดงเจริญเสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมปี 2567 เวลา 18:00 นตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐ อเมริกาแต่เวลาเดียวกันนี้ตรงกับช่วงเช้า ของวันที่ 20 ธันวาคมปี 2567 ตามเวลา เมืองไทยทั้งนี้เพราะเวลาที่ไทยและ แคลิฟอร์เนียห่างกัน 15 ชมงถือเป็นข่าว เศร้าทวีคูณปลายปี 2567 สำหรับแฟนหมอลำ ที่ 2 ตำนานเสียชีวิตติดๆกันขอให้ดวง วิญญาณของทั้ง 2 ท่านจงไปสู่สุคติภพด้วย

เทอญสำหรับประวัติของหมอลำดังในตำนานทั้ง 2 ท่านมีดังนี้ครับสลักศิลาทองมีชื่อ จริงว่ากิตติทัศน์โถทองมีชื่อเล่นว่าน้อย เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมปี 253 ที่ บ้านสระทองตำบลแนงมุดอำเภอกาบเชิงจังหวัด สุรินทร์เป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง ทั้งหมด 5 คนของคุณพ่อมุดาศิลารักษ์และ คุณแม่ทองศรีโถทองครอบครัวมีอาชีพทำ เกษตรกรรมเนื่องจากบ้านสาทองเป็นหมู่บ้าน ที่อยู่ติดกับชายแดนประเทศกัมพูชาเมื่อมี เหตุการณ์สู้รบในประเทศกัมพูชาตามแนวชาย แดนบ้านสาทองมักจะโดนลูกหลงมีลูกปืนใหญ่ มาตกใส่บ่อยครั้งทำให้ชีวิตในวัยเด็กของ น้อยกิตติทัศน์ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาและใน

ระหว่างที่เขาเรียนอยู่ชั้นมศ 2 ที่โรง เรียนกราบเชิงวิทยาตามแนวชายแดนก็เกิดการ สู้รบกันอย่างรุนแรงมีกลุ่มโจรเขมรบุกมา ปล้นสะดมชาวบ้านทำให้ต้องอพยพครอบครัวหนี ภัยไปอยู่อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรีพ่อ แม่และพี่ๆหันมารับจ้างทำไรอ้อยส่วนตัว เขาหมดโอกาสเรียนต่อจึงไปสมัครทำงานอยู่ ที่โรงพยาบาลเอกชนที่อำเภอบ้านชางจังหวัด ระยองทำงานอยู่กับคนไข้ได้ประมาณ 2 ปีก็ เกิดความเบื่อหน่ายเนื่องจากเขาเป็นคนชอบ ร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กและก็ร้องเพลงได้ ตั้งแต่ยังไม่ทิ้งนมแม่ทำให้เขาคิดอยากจะ เป็นนักร้องจึงลาออกจากงานแล้วเดินทาง เข้ากรุงเทพฯคนเดียวโดยมีจุดมุ่งหมายคือ

ซอยบุผาสวรรค์เมื่อเดินทางไปถึงเขาก็ไป สมัครที่สำนักงานมดนตรีเพลินพรหมแดนคนใน สำนักงานได้แนะนำว่าถ้าอยากเป็นนักร้อง ต้องไปหาครูชลทีทาทองแล้วก็บอกที่อยู่ พร้อมเขียนแผนที่ให้พอหนุ่มกิตติทัศน์โถ ทองไปถึงบ้านครูชลทีก็พบว่ามีผู้คนมากมาย คับคั่งเพราะมีการจัดงานอยู่เขาจึงได้แต่ เพียงยกมือไหว้ครูชลทีแล้วท่านก็ขอตัวไป ต้อนรับแขกต่อไปไม่มีเวลามาคุยกับเขาเขา จึงต้องหิ้วกระเป๋ากลับมาที่ซอยบุผา สวรรค์อีกครั้งคราวนี้ได้พบกับอาจารย์ เจดีย์มณีพันธ์ผู้แต่งเพลงตะวันลับฟ้ายก เมียให้เพื่อนหลังจากอาจารย์เจดีย มณีพันธ์ได้รู้ว่าเขาอยากเป็นนักร้องจึง

พาไปอยู่ที่บ้านย่านซอยบ้านช่างหล่อและ ฝากให้เขาไปร้องเพลงกับวงดนตรีคณะต่างๆ เช่นพุ่มพวงดวงจันทร์ศรเพชรศรสุพรรณมนต์ รักขวัญโพธิ์ทัยเป็นต้นครั้งหนึ่งเขาเคย ไปร้องเพลงคณะระบำ 25 นโดยใช้เพลงหากิน ประจำคือเพลงขี่เก๋งอย่าลืมเกวียนจนได้ รับการขนานนามจากเพื่อนๆว่าไอ้ขี่เก๋งเขา โลดแล่นเดินสายอยู่กับวงดนตรีต่างๆเป็น เวลานับปีโดยไม่ได้มีจดหมายติดต่อไปบอก ทางบ้านเลยจนกระทั่งวันที่เดินสายไปกับ คณะระบำ 25 นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและ ต้องลงเรือเพื่อข้ามไปแสดงที่เกาะสมุย ระหว่างที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเลใน ค่ำคืนอันมืดมิดทุกคนนอนหลับหมดแล้วแต่

หนุ่มน้อยกิตติทัศน์กลับยังหลับไม่ลงเขา เกิดคิดถึงแม่ขึ้นมาอย่างกะทันหันในใจก็ คิดว่าถ้าเรือเป็นอะไรไปคงไม่มีใครไปบอก พ่อแม่หลังจากกลับจากเดินสายครั้งนั้นเขา จึงรีบเดินทางกลับบ้านทันทีพอกลับมาถึง บ้านก็พบว่าแม่ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลเขา จึงตัดสินใจอยู่กับแม่ไม่กลับไปเดินสาย กระบงดนตรีอีกต่อไปและได้บวชอุปสมบทที่ วัดบ้านสาทองพอสึกออกมาก็มีคนในหมู่บ้าน จะตั้งคณะหมอลำจึงชวนเขาไปอยู่ด้วยเขาจึง บอกไปว่าเขาร้องหมอลำไม่เป็นถ้าให้ร้อง เพลงหรือฝึกเป็นนักเต้นแล้วก็พอได้แต่คน ที่มาชวนบอกว่าไม่เป็นไรให้ไปร่วมงานกัน ก่อนและเขาก็จ้างอาจารย์ทองไมมาลีซึ่งขณะ

นั้นยังไม่ได้บันทึกเสียงจนโด่งดังให้ เป็นผู้สอนการลำให้กับหนุ่มกิตติทัศน์ ระหว่างการคัดเลือกหาตัวพระเอกของคณะ อาจารย์ทองไมมาลีจะใช้วิธีร้องนำแล้วให้ สมาชิกวงร้องตามทีละคนผลปรากฏว่าหนุ่ม น้อยกิตติทัศน์ถูกคัดเลือกให้เป็นพระเอก หมอลำของคณะสสะทองรุ่งเสน่ห์โชว์และมีการ รับงานแสดงทั่วไปจนกระทั่งวันหนึ่งได้ไป แสดงที่หมู่บ้านของเฉลิมพลมาลคำซึ่งในขณะ นั้นยังไม่ได้เป็นนักร้องและเพิ่งสึกจาก สามเณรใหม่ๆเฉลิมพลเกิดชอบใจการร้องหมอลำ ของสลักศิลาทองจึงเข้าไปพูดคุยพอรู้ว่า เกิดปีเดียวกันทั้งสองก็เลยผูกเสี่ยวเป็น เพื่อนกันต่อมาเฉลิมพลคิดจะตั้งคณะหมอลำ

จึงว่าจ้างให้หนุ่มกิตติทัศน์มาช่วยฝึก สอนจนตั้งคณะหมอลำได้สำเร็จและรับงานแสดง คู่กันเวลาคณะสะทองรุ่งเสน่ห์โช์มีงานก็ จะนำเฉลิมพลไปร่วมแสดงด้วยเวลาคณะเฉลิมพล มีงานก็จะเอาหนุ่มกิตติทัศน์ไปแสดงด้วย เช่นกันวันหนึ่งหนุ่มกิตติทัศน์ได้เดิน ทางไปรับใบสัญญาจ้างงานแสดงกับเซียงจ่อย วิไลพันธ์ที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่งใน จังหวัดสุรินทร์ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์และ ที่นั่นมีการจัดประกวดร้องเพลงโดยมนต์รัก กลิ่นบุผามหาหิงเป็นต้นหนุ่มกิตติทัศน์ และเฉลิมพลก็ได้เข้าร้องประกวดกับเขาด้วย ผลการตัดสินปรากฏว่าได้ที่หนึ่งทั้ง 2 คน คือได้รับน้ำปลาคนละ 1 ลังเสื้อคนละ 2

ตัวตัวและวันนั้นก็มีทีมงานของวงดนตรีคณะ พิมพ์ใจเพชรพลาญชัยมาดูอยู่ด้วยจึงได้ชวน ทั้ง 2 คนไปอยู่กับวงดนตรีพิมพ์ใจเพชร พลาญชัยโดยหนุ่มกิตติทัศน์ได้เล่นรำ เรื่องเป็นตัวกุมารกล่าวคือหัวหน้าวงป๋า ชินชัยัพิลาต้องการจะปั้นเขาเป็นนักร้อง ส่วนเฉลิมพลได้ทำหน้าที่เป็นคอนวอยแบกหาม ซึ่งต้องลำบากนั่งรถแบบไม่มีหลังคาและ ต้องใช้แรงงานสารพัดและไม่มีโอกาสได้ร้อง เพลงนักทำให้เฉลิมพลเกิดท้อใจกลับไปอยู่ บ้านเวลาต่อมาป๋าชินชัยทำพิลาเจ้าของวง พิมพ์ใจเพชรพลาญชัยได้ประกาศหยุดวงและจะ บันทึกเสียงให้กับหนุ่มกิตติทัศน์โดยบอก ว่ากำลังรอเพลงจากอาจารย์รอยอินทนนท์

ระหว่างนั้นหนุ่มกิตติทัศน์ก็บอกว่าเขามี เพื่อนชื่อเฉลิมพลที่เคยมาอยู่วงด้วยกัน แต่งเพลงได้เขาจึงได้บันทึกเสียงชุดแรก ด้วยผลงานเพลงของเฉลิมพลมาลาคำหลายเพลง ต่อมาก็มีเพลงของอาจารย์เทพพรเพชรอุบลเอา มาให้ร้องอีกและอาจารย์เทพพรเพชรอุบลนี่ เองที่เป็นผู้ตั้งชื่อให้เขาว่าสลัก ศิลาทองตอนนั้นอัดเพลงไว้หลายสเพลงแต่ได้ รับคำแนะนำจากอาจารย์คำเกิทองจันทร์ให้นำ เพลงเอิ้นหาน้องเขียวมาเป็นเพลงเชียร์ตาม ด้วยเพลงสลักพลัดถิ่นปรากฏว่าเพลงเอิ้นหา น้องเขียวโด่งดังเป็นกระแสอย่างมากโด่ง ดังมากในภาคอีสานเรียกได้ว่าเป็นกลอนลำ ดังในตำนานเลยทีเดียวจไปเมื่อเดือน

กุมภาพันธเกียวจากบ้านน้อำลา บ้านลลบ่เห็นกลับ นนหลอกให้อ้ายงงร สลักศิลาทองอยู่กับป๋าชินชัยธัพิลาเป็น เวลา 5 ปีก็กลับมาอยู่บ้านทำไร่ทำนาได้ พักนึงบังเอิญวดนตรีคณะเพชรพินทองมาแสดง ใกล้บ้านเขาจึงไปสมัครอยู่กับนพดลดวงพร จากนั้นอีกประมาณ 5 ปีก็ออกมาร้องเพลงตาม ร้านอาหารพอมีทุนก็เปิดร้านอาหารของตัว เองชื่อร้านอีสานลำแพนอยู่ย่านสำโรงแต่ เปิดได้เพียง 4-5 เดือนก็ต้องเลิกเพราะ ขาดทุนพอดีมีเพื่อนมาแนะนำให้เขาไปร้อง เพลงที่ฮ่องกงจนได้พบกับอาจารย์วิจารณ์ อินทรักษ์จึงมีการชวนการมาทำอัลบั้มเพลง ชุดใหม่คือชุดส่งข่าวตามลมภายใต้สังกัด

เพลงจางโปรโมชั่นต่อมาชื่อเสียงและผลงาน ของสลักศิลาทองก็ค่อยๆเลือนหายไปจากวงการ สลักศิลาทองเคยมีภรรยาเป็นชาวอำเภอ จตุรพักตร์พิมานจังหวัดร้อยเอ็ดมีบุตร ด้วยกัน 3 คนแต่ได้แยกทางกันไปในที่สุด ช่วงหนึ่งของชีวิตหลังงานด้านร้องรำของ เขาเงียบซาลงสลักศิลาทองต้องประสบปัญหา หลายอย่างในชีวิตคุณแม่ของเขาซึ่งมีอาการ ป่วยสุขภาพแย่ถึงกับเดินไม่ได้ได้ขอร้อง ให้ลูกชายบวชเพื่อเอารรเป็นที่พึ่งเป็น การสร้างบุญกุศลสงบระงับจิตใจที่ปั่นป่วน ด้วยเขาจึงตกลงใจบวชให้แม่ที่วัดเวฬุวรรณ จังหวัดร้อยเอ็เมื่อปี 2557 โดยทีแรกกจะ บวชสัก 3 เดือนก็พอแต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง

ท่านกลับไปเยี่ยมโยมแม่แล้วพบว่าพอแม่ เห็นลูกชายใต้ผ้าเหลืองก็มีสุขภาพดีขึ้น ลุกขึ้นเดินได้พระกิตติทัศน์กิตติวังโส หรือสลักศิลาทองจึงตัดสินใจบวชต่อเรื่อย มาแบบไม่คิดจะสึกจนกระทั่งท่านได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมปี 2567 ขณะอายุ ได้ 64 ปีและบวชได้ 9 พรรษาสมหมายน้อย ดวงเจริญมีชื่อจริงว่าสมหมายลานวิชัยเกิด เมื่อวันที่ 14 มีนาคมปี 2509 ที่บ้าน เชือกตำบลเดดอำเภอเมืองจังหวัดยโสธรเขา เป็นลูกชายคนสุดท้องซึ่งเป็นคนที่ 5 ของ ครอบครัวชาวนาด้วยความที่เขาชอบเสียงร้อง เสียงรำมาตั้งแต่จำความได้หัวใจจึงใฝ่ฝัน อยากจะเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็กหลังจาก

เรียนจบภาคบังคับคือชั้นป 4 จากโรงเรียน บ้านเชือกตำบลเดิอำเภอเมืองจังหวัดยโสธร เขาก็ไม่คิดจะเรียนต่อเพราะมีใจรักด้าน การร้องรำมากกว่าที่จะอยากเรียนเขาจึง เริ่มฝึกหัดร้องรำอย่างตั้งใจและมองหาลู่ ทางที่จะเอาดีทางร้องเพลงอยู่เสมอเขาเผย ว่าก็เพราะใจรักทางร้องรำนี่แหละครับทำ ให้ผมยังคงอยู่ที่ยโสธรและร่ำเรียนวิชา เขียนกลอนลำจากอาจารย์เพลิง โพธิธรรมๆและเคยไปเป็นพระเอกหมอลำอยู่แถว ๆจังหวัดอุบลราชธานีอยู่ 2-3 ปี ประสบการณ์เหล่านี้เลยครับทำให้ผมมีความ มั่นใจว่าความฝันที่จะเป็นนักร้องของตัว เองมีความเป็นไปได้มากขึ้นเพราะผมเริ่ม

รู้จักเขียนกลอนลำเองและร้องเองได้และถึง จุดหนึ่งความฝันของหนุ่มสมหมายก็เจอโอกาส กลายเป็นความจริงเมื่อคุณวิทูลวงไกรนัก จัดรายการวิทยุชื่อดังของจังหวัดยโสธรใน ยุคนั้นและยังเป็นส.สชื่อดังอีกด้วยได้ จัดให้มีการประกวดร้องเพลงในพ.ศนั้นหนุ่ม สมหมายซึ่งอยู่ละแวกใกล้เคียงอยู่แล้วจึง ไม่พลาดที่จะไปร่วมประกวดกับเขาด้วยและก็ คว้ารางวัลชนะเลิศมาได้บ่อยๆทำให้เขาคุ้น หน้าคุ้นตากับสสวิทูลวงไกรคนดังสมหมาย น้อยดวงเจริญเผยถึงการก้าวเข้าสู่วงการ เพลงว่าผมโชคดีที่ได้ท่านสสวิทูรวงษ์ไกร เป็นผู้ให้การสนับสนุนนำเข้าสู่วงการเพลง ครับคือท่านเป็นคนเมืองยโสธรบ้านเดียวกับ

ผมนี่แหละครับท่านเห็นว่าผมมีความตั้งใจ จริงที่จะเป็นนักร้องก็เลยให้การสนับสนุน ครั้งแรกก็ลองร้องให้ท่านฟังและนำผลงาน ที่ผมเขียนไว้เองไปให้ท่านดูท่านก็พอใจ งานของผมจึงมีการตกลงกันว่าท่านจะให้การ สนับสนุนผมให้เป็นนักร้องเพื่อที่คนเมือง ยโสธรจะได้มีนักร้องเกิดในวงการนี้อีกสัก คนหนึ่งนะครับผู้สัมภาษณ์ถามเขาว่าแล้ว เรื่องดนตรีล่ะครับก็ท่านสสอีกล่ะครับพอ ผมบันทึกเสียงชุดแรกในชุดที่ชื่อว่าวิวา สะอื้นเสร็จเรียบร้อยท่านก็เห็นว่าผมควร จะมีวงดนตรีเป็นของตัวเองสักวงก็เริ่มมี การปรึกษาหารือกันและลงมติกันว่าจะมีการ ตั้งวงดนตรีสมมายน้อยดวงเจริญให้เกิดขึ้น

มาเพราะหลังจากที่เพลงชุดวิวาสะอื้นวาง ตลาดก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟน เพลงประชา ชนเป็นแรงสนับสนุนให้วงดนตรีหมอลำไอ้ หนุ่มลูกทุ่งคนใหม่อย่างผมได้เกิดขึ้นมา อย่างเต็มตัวนะครับแล้วเพลงชุดแรกชุดวิวา สะอืนนี้คิดว่าเพลงไหนที่โดดเด่นบ้างครับ ก็มีวิวาสะอื้นศาลาคนเศร้าเสียงเอื้อนจาก เมืองยศคือเป็น 3 เพลงที่ผมชอบมากที่สุด นะครับเพราะให้ความหมายและความรู้สึกกับ ผมมากทีเดียวปรากฏว่าในยุคนั้นสมหมายน้อย ดวงเจริญมีผลงานเพลงฮิตต่อเนื่องหลายชุด กลายเป็นหมอลำชื่อดังที่มีชื่อเสียงคู่ ขี้สูสีกับพรศักดิ์ส่องแสงซึ่งเป็นนัก

ร้องในสังกัดเดียวกันคือบริษัทสิงสยาม แผ่นเสียงเทปนอกจากเพลงวิวาสอื้นขอสละรัก แล้วผลงานอื่นๆที่ออกตามมาก็ได้รับความ นิยมชมชอบจากแฟนเพลงหลายเพลงหลายกลอนเช่น ลำเต้ยจดหมายบรรยายรักจดหมายบรรยายอากาศ จดหมายบรรยายอากาศ ใจรักสาวครูปอนปอนซิ่งของแซ่บอีสานเป็น ต้นความสดใหม่โด่งดังของสมมายน้อย ดวงเจริญทำให้เขาได้ออกรายการทีวีเด่นๆใน ยุคนั้นมากมายเช่นรายการ 7 สคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตโลกดนตรีทางช่อง 5 สมมายน้อย ดงเจริญยังเคยแสดงหนังอีกด้วยราวๆปี 2543 สมมายน้อยได้เดินทางไปร้องเพลงต่างแดนที่ สหรัฐอเมริกาจากนั้นเขาก็ไม่ได้เดินทาง

กลับมาเมืองไทยอีกเลยญาติของเขาเคยเผยว่า นักร้องดังบอกว่าจะไปหากินดาบหน้าโดยไม่ มีกำหนดกลับในยุคที่ยังไม่มีสื่อออนไลน์ สื่อสารได้ฉับไวเหมือนทุกวันนี้การเงียบ หายตัวไปจากการรับรู้ของแฟนเพลงและคนรู้ จักนับ 10 ปีของสมมายน้อยดวงเจริญทำให้มี กระแสข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขาไม่น้อยเช่น ลือว่าเขาเสียชีวิตแล้วเมื่อหลายปีก่อน เป็นต้นอย่างไรก็ดีหลายปีต่อมาเช่นปี 2561 ก็มีคลิปวีดีโอเผยแพร่ใน YouTube ว่า สมหมายน้อยดวงเจริญยังคงมีชีวิตอยู่และ ร้องเพลงเล่นดนตรีอยู่ที่ต่างแดดและใช้ ชีวิตอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนียเพียงแต่รูป ร่างและซุ่มเสียงของสมมายน้อยดวงเจริญอาจ

จะเปลี่ยนไปจากสมัยที่โด่งดังซึ่งก็เป็น สัจธรรมเป็นไปตามวันเวลาปัจจุบันนี้สมมาย น้อยดวงเจริญอยู่ในวัย 58 ย่าง 59 ปี สุขภาพของท่านยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าที่ ควรแต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเพราะเพิ่ง ฟื้นตัวจากการป่วยด้วยโรคเบาหวานและโรค อื่นๆเช่นความดันเป็นต้นท่านเคยให้ สัมภาษณ์ว่ามีแฟนเพลงและญาติมิตรที่เมือง ไทยอยากให้เดินทางกลับเมืองไทยและสมมาย น้อยก็เคยบอกในช่วงโควิดว่าถ้าโควิดซาเขา อาจจะเดินทางกลับเมืองไทยล่าสุดเมื่อปลาย ปี 2566 ทางญาติของสมหมายน้อยก็เคยได้รับ การแจ้งจากเขาว่าปีใหม่ปี 2567 เขาจะเดิน ทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยแต่ถึงวัน

นี้สมมายน้อยดวงเจริญก็ยังไม่ได้เดินทาง กลับมาเมืองไทยจนกระทั่งมาเสียชีวิตลง เมื่อเช้าของวันที่ 20 ธันวาคมปี 2567 ใน วัย 58 ปีขอให้ดวงวิญญาณของสมยน้อยลุง เจริญจงงไปสู่สุคติภพด้วยเทอญ

Cr:https://youtu.be/ZILfParJUAg

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *