(2911) สิ้นลมในผ้าเหลือง 🙏 อดีตหมอลำดัง จากไปอย่างสงบ เมื่อวานนี้
[เพลง] สิ้นลมคาผ้าเหลืองอดีตหมอลำดังจากไปอย่าง สงบเมื่อวาน นี้เมื่อวานนี้คือวันที่ 10 ธันวาคมปี 2567 องงการเพลงมีข่าวเศร้าแพร่หลายใน สื่อต่างๆคือการล่วงลับไปของเรือตรีสันติ ลุนเพพศิลปินแห่งชาติเจ้าของเสียงร้องทรง พลังเมื่อเวลาประมาณ 1 1 นของวันที่ 10 ธันวาคมปี 2567 ณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภา กาชาติไทยกรุงเทพมหานครด้วยสาเหตุไตวาย เรื้อรังสิริอายุ 88 ปีที่หลายคนยังไม่ ทราบและยังไม่เป็นข่าวแพร่หลายนักก็คือใน วันเดียวกันนี้สลักศิลาทองอดีตหมอลำชื่อ ดังจากกลอนลำเอิ้นหาน้องเขียวซึ่งได้บวช เป็นพระย่างเข้าปีที่ 10 โดยมีนามว่าพระ
กิตติทัศน์กิตติวโสก็ได้มรณภาพเมื่อวัน ที่ 10 ธันวาคมปี 2567 เช่นกันท่านจากไป ขณะอายุได้ 64 ปีบวชได้ 9 พรรษาสลัก ศิลาทองมีชื่อจริงว่ากิตติทัศน์โถทองมี ชื่อเล่นว่าน้อยเกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมปี 2503 ที่บ้านสระทองตำบลแนงมุด อำเภอกาบเชิงจังหวัดสุรินทร์เป็นลูกคนสุด ท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 5 คนของคุณพ่อ มุดดาศิลารักษ์และคุณแม่ทองศรีโถทอง ครอบครัวมีอาชีพทำเกษตรกรรมเนื่องจากบ้าน สาทองเป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกับชายแดน ประเทศกัมพูชาเมื่อมีเหตุการณ์สู้รบใน ประเทศกัมพูชาตามแนวชายแดนบ้านสาทองมักจะ โดนลูกหลงมีลูกปืนใหญ่มาตกใส่บ่อยครั้งทำ
ให้ชีวิตในวัยเด็กของน้อยกิตติทัศน์ตื่น เต้นอยู่ตลอดเวลาและในระหว่างที่เขาเรียน อยู่ชั้นมศ 2 ที่โรงเรียนกราบเชิงวิทยา ตามแนวชายแดนก็เกิดการสู้รบกันอย่าง รุนแรงมีกลุ่มโจรเขมรบุกมาปล้นสะดมชาว บ้านทำให้ต้องอพยพครอบครัวหนีภัยไปอยู่ อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรีพ่อแม่และพี่ๆ หันมารับจ้างทำไร่อ้อยส่วนตัวเขาหมดโอกาส เรียนต่อจึงไปสมัครทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล เอกชนที่อำเภอบ้านชางจังหวัดระยองทำงาน อยู่กับคนขได้ประมาณ 2 ปีก็เกิดความเบื่อ หน่ายเนื่องจากเขาเป็นคนชอบร้องเพลงมา ตั้งแต่เด็กและก็ร้องเพลงได้ตั้งแต่ยัง ไม่ทิ้งนมแม่ทำให้เขาคิดอยากจะเป็นนัก
ร้องจึงลาออกจากงานแล้วเดินทางเข้า กรุงเทพฯคนเดียวโดยมีจุดมุ่งหมายคือซอย บุผาสวรรค์เมื่อเดินทางไปถึงเขาก็ไปสมัคร ที่สำนักงานวงดนตรีเพลินพรหมแดนคนในสำนัก งานได้แนะนำว่าถ้าอยากเป็นนักร้องต้องไป หาครูจุรทีทานทองแล้วก็บอกที่อยู่พร้อม เขียนแผนที่ให้พอหนุ่มกิตติทัศน์โถทองไป ถึงบ้านครูชลทีก็พบว่ามีผู้คนมากมายคับ ขั่งเพราะมีการจัดงานอยู่เขาจึงได้แต่ เพียงยกมือไหว้ครูชลทีแล้วท่านก็ขอตัวไป ต้อนรับแขกต่อไปไม่มีเวลามาคุยกับเขาเขา จึงต้องหิ้วกระเป๋ากลับมาที่ซอยบุผา สวรรค์อีกครั้งคราวนี้ได้พบกับอาจารย์ เจดีย์มณีพันธ์ผู้แต่งเพลงตะวันลับฟ้ายก
เมียให้เพื่อนหลังจากอาจารย์เจดีย์ มณีพันธ์ได้รู้ว่าเขาอยากเป็นนักร้องจึง พาไปอยู่ที่บ้านย่านซอยบ้านช่างหล่อและ ฝากให้เขาไปร้องเพลงกับวงดนตรีคณะต่างๆ เช่นพุ่มพวงดวงจันทร์ศรเพชรศรสุพรรณมนต์ รักขวัญโพธิ์ทัยเป็นต้นครั้งหนึ่งเขาเคย เคยไปร้องเพลงคณะระบำ 25 นโดยใช้เพลงหา กินประจำคือเพลงขี่เก๋งอย่าลืมเกวียนจน ได้รับการขนาดนามจากเพื่อนๆว่าไอ้ขี่เก๋ง เขาโลดแล่นเดินสายอยู่กับวงดนตรีต่างๆ เป็นเวลานับปีโดยไม่ได้มีจดหมายติดต่อไป บอกทางบ้านเลยจนกระทั่งวันที่เดินสายไป กับคณะระบำ 25 นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และต้องลงเรือเพื่อข้ามไปแสดงที่เกาะสมุย
ระหว่างที่เรือกำลังแล่นอยู่กลางทะเลใน ค่ำคืนอันมืดมิดทุกคนนอนหลับหมดแล้วแต่ หนุ่มน้อยกิตติทัศน์กลับยังหลับไม่ลงเขา เกิดคิดถึงแม่ขึ้นมาอย่างกะทันหันในใจก็ คิดว่าถ้าเรือเป็นอะไรไปคงไม่มีใครไปบอก พ่อแม่หลังจากกลับจากเดินสายครั้งนั้นเขา จึงรีบเดินทางกลับบ้านทันทีพอกลับมาถึง บ้านก็พบว่าแม่ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลเขา จึงตัดสินใจอยู่กับแม่ไม่กลับไปเดินสาย กับวงดนตรีอีกต่อไปและได้บวชอุปสมบทที่ วัดบ้านสระทองพอสึกออกมาก็มีคนในหมู่บ้าน จะตั้งคณะหมอลำจึงชวนเขาไปอยู่ด้วยเขาจึง บอกไปว่าเขาร้องหมอลำไม่เป็นถ้าให้ร้อง เพลงหรือฝึกเป็นนักเต้นแล้วก็พอได้แต่คน
ที่มาชวนบอกว่าไม่เป็นไรให้ไปร่วมงานกัน ก่อนและเขาก็จ้างอาจารย์ทองไมมาลีซึ่งขณะ นั้นยังไม่ได้บันทึกเสียงจนโด่งดังให้ เป็นผู้สอนการลำให้กับหนุ่มกิตติทัศน์ ระหว่างการคัดเลือกหาตัวพระเอกของคณะ อาจารย์ทองไมมาลีจะใช้วิธีร้องนำแล้วให้ สมาชิกวงร้องตามทีละคนผลปรากฏว่าหนุ่ม น้อยกิตติทัศน์ถูกคัดเลือกให้เป็นพระเอก หมอลำของคณะสสะทองรุ่งเสน่ห์โช์และมีการ รับงานแสดงทั่วไปจนกระทั่งวันหนึ่งได้ไป แสดงที่หมู่บ้านของเฉลิมพลมาลคำซึ่งในขณะ นั้นยังไม่ได้เป็นนักร้องและเพิ่งสึกจาก สามเณรใหม่ๆเฉลิมพลเกิดชอบใจการร้องหมอลำ ของสลักศิลาทองจึงเข้าไปพูดคุยพอรู้ว่า
เกิดปีเดียวกันทั้งสองก็เลยผูกเสี่ยวเป็น เพื่อนกันต่อมาเฉลิมพลคิดจะตั้งคณะหมอลำ จึงว่าจ้างให้หนุ่มกิตติทัศน์มาช่วยฝึก สอนจนตั้งคณะหมอลำได้สำเร็จและรับงานแสดง คู่กันเวลาคณะสสะทองรุ่งเสน่ห์โชมีงานก็ จะนำเฉลิมพลไปร่วมแสดงด้วยเวลาคณะเฉลิมพล มีงานก็จะเอาหนุ่มกิตติทัศน์ไปแสดงด้วย เช่นกันวันหนึ่งหนุ่มกิตติทัศน์ได้เดิน ทางไปรับใบสัญญาจ้างงานแสดงกับเซียงจ่อย วิไลพันธ์ที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่งใน จังหวัดสุรินทร์ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์และ ที่นั่นมีการจัดประกวดร้องเพลงโดยมนต์ รัก์กลิ่นบุผามหาหิงเป็นต้นหนุ่ม กิตติทัศน์และเฉลิมพลก็ได้เข้าร้องประกวด
กับเขาด้วยผลการตัดสินปรากฏว่าได้ที่ หนึ่งทั้ง 2 คนคือได้รับน้ำปลาคนละ 1 ลัง เสื้อคนละ 2 ตัวและวันนั้นก็มีทีมงานของ วงดนตรีคณะพิมพ์ใจเพชรพลาญชัยมาดูอยู่ ด้วยจึงได้ชวนทั้ง 2 คนไปอยู่กับวงดนตรี ิมใจเพชพลาญชัยโดยหนุ่มกิตติทัศน์ได้เล่น รำเรื่องเป็นตัวกุมารกล่าวคือหัวหน้าวง ป๋าชินชัยธัพิลาต้องการจะปั้นเขาเป็นนัก ร้องส่วนเฉลิมพลได้ทำหน้าที่เป็นคอนวอย แบกหามซึ่งต้องลำบากนั่งรถแบบไม่มีหลังคา และต้องใช้แรงงานสารพัดและไม่มีโอกาสได้ ร้องเพลงนักทำให้เฉลิมพลเกิดท้อใจกลับไป อยู่บ้านเวลาต่อมาป๋าชินชัยทำพิลาเจ้าของ วงพิมพใจเพชรพลาญชัยได้ประกาศหยุดวงและจะ
บันทึกเสียงให้กับหนุ่มกิตติทัศน์โดยบอก ว่ากำลังรอเพลงจากอาจารย์ดอยอินทนนท์ ระหว่างนั้นหนุ่มกิตติทัศน์ก็บอกว่าเขามี เพื่อนชื่อเฉลิมพลที่เคยมาอยู่วงด้วยกัน แต่งเพลงได้เขาจึงได้บันทึกเสียงชุดแรก ด้วยผลงานเพลงของเฉลิมพลมาลาคำหลายเพลง ต่อมาก็มีเพลงของอาจารย์เทพพรเพชรอุบลเอา มาให้ร้องอีกและอาจารย์เทพพรเพชรอุบลี่ เองที่เป็นผู้ตั้งชื่อให้เขาว่าสลัก ศิลาทองตอนนั้นอัดเพลงไว้หลายสเพลงแต่ได้ รับคำแนะนำจากอาจารย์คำเกิ่งทองจันทร์ให้ นำเพลงเอิ้นหาน้องเขียวมาเป็นเพลงเชียร์ ตามด้วยเพลงสลักพลัดถิ่นปรากฏว่าเพลงเอ้น หาน้องเขียวโด่งดังเป็นกระแสอย่างมากโด่ง
ดังมากในภาคอีสานเรียกได้ว่าเป็นกลอนลำ ดังในตำนานเลยทีเดียวไปเมื่อเดือน กุมภาพันธเกียวจากบ้านน้อำลา บ้านลลบ่เห็นกลับ นหลอกให้อ้ายงงรอาจนจ [เพลง] โอยอ้ายอนบเสียงก่อน้าเป็นเวลาเดือนเดือน มาหลายมืคือแฟนค้าแนานี่ให้คือแฟนค้าแน ให้แไปจากบ้านพู้นมื้อบเมืสลักศิลาทอง อยู่กับป๋าชินชัยทำพิลาเป็นเวลา 5 ปีก็ กลับมาอยู่บ้านทำไร่ทำนาได้พักนึงบังเอิญ วงดนตรีคณะเพชรพินทองมาแสดงใกล้บ้านเขา จึงไปสมัครอยู่กับนพดลดวงพรจากนั้นอีก ประมาณ 5 ปีก็ออกมาร้องเพลงตามร้านอาหาร พอมีทุนก็เปิดร้านอาหารของตัวเองชื่อร้าน อีสานลำแพนอยู่ย่านสำโรงแต่เปิดได้เพียง
4-5 เดือนก็ต้องเลิกเพราะขาดทุนพอดีมี เพื่อนมาแนะนำให้เขาไปร้องเพลงที่ฮ่องกง จนได้พบกับอาจารย์วิจารย์อินทรักษ์จึงมี การชวนกันมาทำอัลบั้มเพลงชุดใหม่คือชุด ส่งข่าวตามลมภายใต้สังกัดเพลงจาง โปรโมชั่นต่อมาชื่อเสียงและผลงานของสลัก ศิลาทองก็ค่อยๆเลือนหายไปจากวงการสลัก ศิลาทองเคยมีภรรยาเป็นชาวอำเภอจตุรพัก พิมานจังหวัดร้อยเอ็ดมีบุตรด้วยกัน 3 คน แต่ได้แยกทางกันไปในที่สุดช่วงหนึ่งของ ชีวิตหลังงานด้านร้องรำของเขาเงียบซาลง สลักศิลาทองต้องประสบปัญหาหลายอย่างใน ชีวิตคุณแม่ของเขาซึ่งมีอาการป่วยสุขภาพ แย่ถึงกับเดินไม่ได้ได้ขอร้องให้ลูกชาย
บวชเพื่อเอาทำเป็นที่พึ่งเป็นการสร้างบุญ กุศลสงบระงับจิตใจที่ปั่นป่วนด้วยเขาจึง ตกลงใจบวชให้แม่ที่วัดเวฬุวัณจังหวัด ร้อยเอ็ดเมื่อปี 2557 โดยทีแรกกจะบวชสัก 3 เดือนก็พอแต่มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านกลับไป เยี่ยมโยมแม่แล้วพบว่าพอแม่เห็นลูกชายใต้ ผ้าเหลืองก็มีสุขภาพดีขึ้นลุกขึ้นเดินได้ พระกิตติทัศน์กิตติวังโสหรือสลักศิลาทอง จึงตัดสินใจบวชต่อเรื่องมาแบบไม่คิดจะสึก จนกระทั่งท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมปี 2567 ขณะอายุได้ 64 ปีและบวช ได้ 9 พรรษาและเป็นพระลูกวัดแสงอรุณตำบล แนงมุดอำเภอกาบเชิงจังหวัดสุรินทร์โดยมี งานบำเพ็ญกุศลศพตั้งแต่วันที่ 10 ถึง 13
ธันวาคมปี 2567 ณวัดแสงอรุณขอให้ดวง วิญญาณของพระกิตติทัศน์กิตติวังโสหรือ สลักศิลาทองจงไปสู่ภพภูมิที่สงบงามพ้น ทุกข์พ้นภัยภพสุขอันเกษมด้วยเทอญ Chanel ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากนิติสารราชา เสียงเพลงฉบับเดือนสิงหาคมปี 2544 ขอบคุณ ภาพประกอบที่มีผู้ลงไว้ขอบคุณมากครับ
Cr:https://youtu.be/qOSwTeKI5Pk